ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2017

Non participative หรือ Non-Par (การวิจัยแบบไม่มีส่วนร่วม)

การวิจัย/สังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม หรือ  Non Par (ticipative)      " การวิจัยแบบไม่มีส่วนร่วม   หรือ การสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม   เป็น กระบวน การที่ใช้เทคนิคในการสังเกตการณ์จากภายนอก"  หรือ ......ที่ภาษาทางการวิจัยหมายถึงการที่ตัวผู้วิจัยนั้นไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับแหล่งข้อมูลนั้นๆอาทิเช่น กิจกรรมทางสังคม ประเพณี การประชุม ฯลฯ  ทั้งนี้.....  อาจเป็นความต้องการทำให้ข้อมูลนั้นปราศจาก..... 1) การปรุงแต่งจากปัจจัยภายนอก  2) เพื่อไม่ให้กลุ่มข้อมูลนั้นรู้ตัว 3) ให้ได้ข้อมูลในลักษณะที่มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด 4) ไร้การเจือปนของการรู้สึก  5) ไร้การปรุงแต่งข้อมูล จึงทำให้ตัวผู้วิจัยนั้นต้องปฏิบัติดั่งเช่นบุคคลภายนอกให้มากที่สุด เเละนั่นทำให้.. ." การวิจัยแบบไม่มีส่วนร่วมหรือสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม ( Non Participative Observation) มีเทคนิคในการเก็บข้อมูลที่ตรงกันข้ามกับเทคนิค การสังเกตการณ์หรือการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (PAR)" เเละความตรงกันข้ามของ Non-Par เเละ Par ที่แตกต่างจึงได้มาซึ่งการสรุป ดังนี้ ข้อมูล ที่แตกต่างไปด้วยความจริงแท้ของข้อมูล ความจริงของปราก

การวิจารณ์ เเละ โครงสร้าง

การวิจารณ์เเละโครงสร้าง       หลักในการวิเคราะห์หรือวิจารณ์ที่เกี่ยวข้องกับเชิงสัญญะวิทยา (Semiology) มีกลวิธีปฏิบัติแตกต่างไปจากงานวิจัยทั่วไปที่ต้องมีขั้นตอนในกระบวนการสร้างแนวคิดจากระดับมหภาคไปสู่ระดับจุลภาค      ทั้งนีั้......เพื่อสร้างกรอบแนวความคิดในการวิเคราะห์/วิจารณ์ที่มีพื้นฐานมาจากส่วนประกอบต่างๆของเป้าหมายการวิเคราะห์ ดังนี้      การวิจารณ์ / การวิเคราะห์เนื้อหา      พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว (2545) กล่าวว่า การวิเคราะห์เนื้อหาเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลที่เน้นที่ตัวเนื้อหา หรือ “สาร” เป็นหลัก เนื่องจากในตัวสารจะมีข้อความสำคัญที่สื่อมวลชนต้องการจะสื่อไปยังผู้รับสาร ได้แยกส่วนประกอบในการวิเคราะห์เนื้อหาออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่      1) คำคำแต่ละคำ หรือศัพท์แต่ละศัพท์ถือเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในเนื้อหา การนับแล้วบันทึกจำนวนคำปรากฏบ่อยๆในเนื้อหาจะทำให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ของสื่อมวลชนในการส่งสารนั้นไปยังผู้ชมได้      2) อรรถบท หรือแก่นความคิดหลัก หมายถึงประเด็นของเรื่องหรือจุดมุ่งหมายของสารนั้นๆ อาจจะมีอรรถบทเดียวหรือหลายอรรถบทก็ได้ในการจดบันทึกอรรถบทที่ปรากฏนั้นยากกว่าการบันทึกคำ เพราะอรรถบทไม

public policy หรือ ทฤษฎีนโยบายสาธารณะ (Thomas R. Dye, โธมัส อาร์.ดาย)

ทฤษฎีนโยบายสาธารณะ หรือ P ublic policy มีความหมายโดยรวมที่กล่าวถึงแนวทางของกิจกรรม โครงการหรือกฏเกณฑ์ที่ใช้เป็นรูปแบบข้อบังคับเพื่อให้ผู้คนในสังคมปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน 1.ตัวแบบสถาบัน ( Institutional Model)       โธมัส อาร์.ดาย มองว่านโยบายเป็นผลผลิตของสถาบันหมายความว่านโยบายสาธารณะถูกกำหนดขึ้นจากสถาบันหลักของรัฐผู้วิเคราะห์ต้องทำความเข้าใจว่าในประเทศนั้นๆมีสถาบันใด บ้างเป็นสถาบันหลักสถาบันเหล่านี้มีหน้าที่อย่างไร ตัวอย่างเช่นในสหรัฐอเมริกาที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดีสถาบันสำคัญมีสามฝ่ายคือฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ การศึกษาจากตัวแบบนี้จะดูว่าสถาบันของทั้งสามฝ่ายมีบทบาทเกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะอย่างไรมีการตรวจสอบถ่วงดุลกันอย่างไรการนำตัวแบบสถาบันไปวิเคราะห์นโยบายสาธารณะใดก็ตามต้องหาคำตอบให้ได้ว่านโยบายนั้นมีสถาบันใดเข้าไปมีบทบาทในการกำหนดนโยบายสถาบันใดรับผิดชอบนำนโยบายนั้นไปปฏิบัติสถาบันใดทำหน้าที่บังคับใช้นโยบายในสังคมเช่นสภาผู้แทนราษฎรออก พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถหน่วยงานที่รับผิดชอบในการนำนโยบายไปปฏิบัติคือกรมการขนส่งกรมการประกันภัย หน่วยงานที่บังคับใ

Utopia - Heterotopias (มิติพื้นที่แบบยูโทเปีย - เฮเทอโรโทเปีย)

Utopia คือนัยของความสมบูรณ์ในอุดมคติ ส่วน Heterotopias คือพื้นที่ในสังคมที่ถูกทับซ้อนด้วยมิติปัญหาต่างๆในสังคมที่มีความสัมพันธ์ทั้งพื้นที่ว่างเเละสถานที่ที่อาจถูกใช้ทำให้เกิดพื้นที่ที่ไม่ปกติ (Other Spaces) เกิดขึ้น Utopia หรือ ยูโทเปีย เป็นการเล่นคำ outopia จากภาษากรีกที่แปลว่า “ไม่มีสถานที่ใดๆ หรือ No place” กับคำว่า Eutopia ที่แปลว่า “สถานที่ที่ดี หรือ good place” จึงทำให้เกิดความหมายที่ผสมผสานเเละได้นัยของความหมายว่า “Utopia จะเป็นสังคมที่สมบูรณ์แบบแต่มันก็ไม่มีทางไปจุดนั้นถึงได้” นั่นเพราะ...ได้มีการนำเสนอผ่านงานศิลปะและวรรณกรรมในรูปแบบที่มีนัยยะที่มีความหมายถึงว่า “เราไม่ต้องการที่จะนำเสนอภาวะสมบูรณ์หรือพื้นที่ที่เป็นอุดมคติแบบยูโทเปียที่เป็นจริงเพียงในจินตนาการ....เพราะว่า...พื้นที่ของนักเขียนและศิลปินจะเน้นระดับของความเป็นจริงแท้สูงมาก...นั่นจึงทำให้มีพื้นที่ว่างสำหรับความขัดแย้งและตรงกันข้ามกับความจริงอาศัยอยู่ในพื้นที่ว่างนั้นด้วย....เเละทำให้พื้นที่ว่างตรงนั้นมักจะมีแนวโน้มที่เดินคู่ขนานไปกับเส้นทางของสังคมที่มีอยู่จริง จึงทำให้อีกมุมมองนั้นทั้งในส่วนของงานวรรณกรรมและทา